คู้มือดูเเลระบบบำบัดน้ำเสียอาคาร
รุปคู่มือ ความรู้เกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเสียแบบ AS สำหรับอาคาร
AS (Activated Sludge)
- นิยมใช้ในอาคารขนาดใหญ่
- เป็นการบำบัดน้ำเสียทางชีวภาพประเภทใช้อากาศ
- มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายมลพิษ
แบ่งหัวข้อ
- มีอะไรในน้ำเสียบ้าง
- เมื่อเกิดน้ำเสียแล้วจะทำอย่างไร
- ทำความรู้จักระบบ AS
- ปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานระบบ AS
- วิธีควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย AS
- ปัญหาที่พบบ่อยและแนวทางแก้ไข
- ข้อคำนึงและการบำรุงรักษาระบบน้ำเสีย
- การวิเคราะห์ปัญหาระบบน้ำเสียอาคารและการปรับปรุง
1.มีอะไรบ้างในน้ำเสีย
1.1น้ำเสียมีอะไรบ้าง
น้ำเสียเป็นน้ำเสียชุมชน ส่วนใหญ่มาจาก การประกอบกิจกรรมของผู้ที่อยู่อาศัย จากการประกอบอาหาร การชำระล้างต่างๆ
คุณลักษณะ ใช้วัดน้ำเสีย(Parameter)
- pH บอกความเป็นกรด-ด่าง
- BOD (Biochemical Oxygen Demand) บอกปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์
- ปริมาณของแข็ง คือปริมาณสารต่างๆ ที่มีอยู่ในน้ำเสียทั้งละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ
- ไนโตรเจน เป็นหนึ่งในสารอาหาร จำเป็นต่อการสร้างเซลล์สิ่งมีชีวิตในน้ำเสีย
- ไขมันและน้ำมัน ได้แก่ ไขมันและน้ำมันที่ได้จากพืชและสัตว์ จากการทำอาหาร, สบู่จากการอาบน้ำ
- COD (Chemical Oxygen Demand) ค่าปริมาณออกซิเจนใช้ในการย่อยสารอินทรีย์ด้วยวิธีการทางเคมี
1.2 ปริมาณน้ำเสีย
ปริมาณน้ำเสียที่ปล่อยทิ้ง จะมีค่าร้อยละ 80 ของปริมาณน้ำใช้โดยประมาณ หรือสามารถประเมินได้จากจำนวนประชากรหรือพื้นที่อาคาร
- การประมาณปริมาณน้ำเสียจากอาคาร คำนวณได้ 2 วิธี
- คิดจากจำนวนคนที่อยู่อาศัย(คิดตามหน่วยต่อคน)
- คิดจากอัตราการมใช้น้ำประปา (น้ำที่ใช้ x 0.65 ถึง 0.90)
2.1 เกิดน้ำเสียแล้วทำยังไง
โดยธรรมชาติน้ำเสียเกิดแล้วจะย่อยสลายตามธรรมชาติ แต่น้ำเสียจากชุมชนมีความสกปรกสูง ทำให้จุลินทรีย์ ไม่สามารถย่อยสลายได้ทัน จึงมีกฎหมายกำหนดมลพิษที่ปล่อยน้ำเสีย
ตารางแสดง ขนาดและประเภทของอาคารที่กำหนดมาตรฐานระบายน้ำทิ้ง
ตารางแสดงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากอาคารขนาดต่างๆ
การเก็บน้ำตัวอย่างทำได้โดย เก็บ ณ จุดระบายน้ำออกสู่สิ่งแวดล้อมนอกเขตพื้นที่อาคาร หรือจุดที่ระบายปล่อยสู่แหล่งน้ำ (มีจุดระบายน้ำหลายจุดก็เก็บทุกจุด)
3.ระบบAS คือ
หลักการทำงาน
เป็นระบบบัดน้ำเสียแบบตะกอนเร่ง เป็นการบำบัดทางชีวภาพ ใช้จุลินทรีย์แบบใช้อากาศ ในการย่อยสลายสิ่งเจือปนในน้ำเสีย สามารถลดค่าความสกปรกของน้ำเสียได้ และมีประสิทธิภาพในการบำบัดที่สูง แต่การใช้ระบบนี้จะมีความยุ่งยากซับซ้อนอยู่ จึงจำเป็น ต้องมีการกำหนดสภาวะแวดล้อม ลักษณะทางกายภาพต่างๆ ให้เหมาะสมแก่การทำงาน และต้องเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์ เพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพในการบำบัดที่สูง
ระบบ AS จำเป็นต้องมีออกซิเจนสำหรับจุลินทรีย์ เพื่อใช้ในการย่อยอาหาร โดยอาหารของของสารอินทรีย์คือ สารคาร์บอนอินทรีย์ ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส ความสกปรกเหล่านี้จะถูกย่อยสลายเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์เกิดเป็นเซลล์ใหม่ โดยมีสมการย่อยสลายเหมือนกันมนุษย์
จากสมการขั้นต้นทำให้รู้ว่า การกำจัดน้ำเสียด้วยวิธีการนี้ต้องอาศัยปัจจัย ได้แก่
- มีปริมาณจุลินทรีย์ให้เพียงพอ
- มีปริมาณออกซิเจนในน้ำที่เพียงพอ
- มีกระบวนการแยกจุลินทรีย์ออกจากน้ำหลังการบำบัด เพื่อแยกสิ่งสกปรกกับน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว
ส่วนประกอบของระบบ AS
มีอย่างน้อย 4 ส่วน คือ
- ถังเติมอากาศ
- ถังตกตะกอน
- ระบบหมุนเวียนตะกอน
- ระบบระบายตะหอนส่วนเกิน
กรณีน้ำเสียมีตะกอนแขวนลอยสูงอาจจะต้องเพิ่มถังตกตะกอนอีก 1 ใบ ไว้หน้าถังเติมอากาศ เพื่อกำจัดตะกอนออกก่อน
หน้าตาของระบบ AS
ถังเติมอากาศมีหน้าที่ เป็นถังเลี้ยงจุลินทรีย์ที่ใช้ O2 ให้กินสารอินทรีย์ในน้ำเสียเป็นอาหารหลังการบำบัดจุลินทรีย์ที่มีในระบบถือเป็นสิ่งสกปรก จึงต้องมีการแยกจุลินทรีย์ออกจากน้ำก่อนโดยถังตกตะกอน เครื่องเติมอากาศสามารถใช้แบบแอเรเตอร์หรือแบบเป่าอากาศให้กับน้ำได้ เครื่องเติมอากาศเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับเพิ่มออกซิเจนให้จุลินทรีย์ใช้ย่อยสลายความสกปรกในน้ำเสีย ทำให้จุลินทรีย์สามารถสัมผัสกับน้ำเสียได้อย่างทั่วถึง จุลินทรีย์ที่ทำงานได้ดี จะเป็นตะกอนแขวนลอยสีน้ำตาลและตกตะกอนได้ดีแต่หากมีการหยุดเติมอากาศ ถังตกตะกอนจะไม่สามารถแยกจุลินทรีย์ออกจากน้ำได้ เป็นเหตุให้การกำจัดน้ำเสียไม่ได้ผลเท่าที่ควรเมื่อแยกจุลินทรีย์แล้ว น้ำใสจะล้นออกทางขอบบน ตะกอนจุลินทรีย์จะจมลงสู่ก้นถังตกตะกอน และจะถูกส่งกลับไปให้ถังเติมอากาศ เพื่อรักษาระดับความเข้มข้นของจุลินทรีย์ให้มีระดับเพียงพอสำหรับกำจัดน้ำเสียทั้งหมด เนื่องจากแบคทีเรียมีการเพิ่มจำนวนตลอดเวลาจึงต้องมีการระบายตะกอนจุลินทรีย์ส่วนเกินทิ้งบ้าว ซึ่งสามารถระบายทิ้งได้จากก้นถังตกตะกอนหรือ จากถังเติมอากาศ ตามความเหมาะสม
รูปส่วนประกอบของจุลินทรีย์ในระบบ AS
|
|
จะสรุปได้ว่าวัตถุประสงค์ของการบำบัดน้ำเสียแบบ AS สามารถลดมลสารอินทรีย์ที่มีอยู่นน้ำเสียให้มากที่สุดในเวลาอันสั้น วิธีนี้มีประสทธิภาพในการทำงานสูงกว่าร้อยละ 90 และน้ำที่ผ่านการบำบัดสามารถทิ้งลงคลองได้
ข้อควรรู้เกี่ยวกับระบบ AS
- ระยะเวลาที่อยู่ในถังเติมอากาศประมาณ 6-12 ชั่วโมง ถังลึก 3-6 เมตร หลังจากนั้นค่อยปล่อยน้ำเสียเข้า
- ถังตกตะกอนทำหน้าที่แยกเชื้อจุลินทรีย์ออกจากน้ำเสีย ตะกอนจุลินทรีย์ส่วนหนึ่งถูกส่งยังถังเติมอากาศใหม่ เพื่อเป็นเชื้อในการบำบัดต่อไป ส่วนตะกอนจุลินทรีย์ที่เหลือถูกส่งไปยังระบบกำจัดสลัดจ์
- การเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์ให้รักษาความเข้มข้น MLSS 1500-3000 มิลลิกรัม/ลิตร ในถังเติมอากาศ
- อัตราส่วนอาหารต่อจุลินทรีย์ (F/M) ระหว่าง 0.25-0.5 กรัมบีโอดี/กรัมตะกอน-วัน
- ถังตกตะกอนควรเป็นแบบถังกลมพร้อมใบกวาด มีระยะตกตะกอนนานไม่ต่ำกว่าประมาณ 6 ชั่วโมง
- การตรวจสอบที่ควรกระทำที่สภาวะควบคุมต่างๆ ที่เหมาะสม เช่น ปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำ,SRT,F/M ระบบจึงทำงานได้ดีที่สุด
- การตรวจสอบถังเติมอากาศของระบบAS วัดทั้งความสามารถในการกำจัดสารอินทรีย์ ลักษณะการจมตัวขิงสลัดจ์ ที่อยู่ในถังเติมอากาศ โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อลักษณะของสลัดจ์ เช่นการปรับระดับการเติมอากาศ อัตราการหมุนเวียนสลัดจ์ อัตราการทิ้งสลัดจ์ ซึ่งจะเป็นตังกำหนดความเข้มข้นและลักษณะของสลัดจ์ โดยไม่มีผลต่อหน้าที่ในด้านการกำจัดสารอินทรีย์
ประเภทของระบบ AS แบ่งเป็น 4 ประเภท
- ระบบASแบบกวนสมบูรณ์
- ระบบASแบบปรับเสถียรสัมผัส
- ระบบคลองวนเวียน
- ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเอลบีอาร์
ระบบ AS แบบกวนสมบูรณ์
ถังเติมอากาศต้องรักษาสภาพให้สามารถกวนให้น้ำและสลัดจ์ อยู่ในถังผสมเป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั่วทั้งถังเติมอากาศ
ข้อดีคือ สามารถรองรับน้ำเสียที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ดี เนื่องจากน้ำเสียจะกระจายไปทั่วถึง และสภาพแวดล้อมต่างๆ ในถังเติมอากาศก็มีค่าสม่ำเสมอทำให้จุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่มีอยู่มีลักษณะเดียวกันตลอดทั้งถัง เช่นช่วงแอน็อกซิก เพื่อย่อยสลายไนโตรเจน
|
|
ระบบASแบบปรับเสถียรสัมผัส
ระบบนี้จะแบ่งถังเติมอากาศเป็น 2 ถัง ได้แก่ ถังสัมผัส และถังย่อยสลาย โดยตะกอนที่สูบมาจากก้นถังตะกอนขั้นสอง จะถูกส่งมาเติมอากาศใหม่ ในถังย่อยสลาย ตะกอนจะถูกส่งมาสัมผัสกับน้ำเสียในถังสัมผัส เพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสียในถังสัมผัสนี้ความเข้มข้นของสลัดจ์จะลดลงตามปริมาณน้ำเสียที่ผสมเข้ามาใหม่ น้ำใสส่วนบนจะถูกระบายออกจากระบบ ตะกอนที่ก้นถังส่วนหนึ่งจะถูกสูบกลับเข้าไปในถังย่อยสลาย อีกส่วนจะนำไปทิ้ง ทำให้บ่อเติมอากาศที่มีขนาดเล็กกว่าบ่อเติมอากาศของระบบตะกอนเร่งทั่วไป
|
|
ระบบคลองวนเวียน
ถังเติมอากาศจะมีลักษณะเป็นวงรี หรือวงกลม ทำให้น้ำไหลเวียนตามแนวยาวของถังเติมอากาศ และรูปแบบการกวนที่ใช้เครื่องกลเติมอากาศตีน้ำในแนวนอน รูปแบบของถังเติมอากาศลักษณะนี้จะทำให้เกิดสภาวะแอนอกซิค เป็นสภาวะที่ไม่มีออกซิเจนละลายในน้ำ ทำให้ไนเตรทไนโตรเจน (NO3-) ถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซไนโตรเจน(N2 ) โดยจุลินทรีย์จำพวกไนตริฟายอิงจุลินทรีย์ ทำให้ระบบสามารถบำบัดไนโตรเจนได้
ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเอสบีอาร์
เป็นระบบAS ประเภทเติมเข้า-ถ่ายออก มีขั้นตอนในกสรบำบัดน้ำเสียแตกต่างจากระบบ AS แบบอื่นๆ คือ การเติมอากาศ การตกตะกอน การเดินระบบบำบัดน้ำเสียแบบเอสบีอาร์ 1 รอบการทำงาน จะมี 5 ช่วงตามลำดับ
- ช่วงเติมน้ำเสีย น้ำเสียเข้าระบบ
- ช่วงทำปฏิกิริยา เป็นการลดสารอินทรีย์ในน้ำ
- ช่วงตกตะกอน ทำให้ตะกอนจุลินทรีย์ ตกลงก้นถังปฏิกิริยา
- ช่วงระบายน้ำทิ้ง ระบายน้ำที่ผ่านการบำบัด
- ช่วงพักระบบ เพื่อซ่อมแซมหรือ รับน้ำใหม่
|
|
ข้อดี-ข้อเสีย ของระบบAS
ข้อดี
- ใช้พื้นที่ก่อสร้างน้อย เมื่อเทียบกับกระบวนการบำบัดทางชีววิทยาแบบอื่นๆ
- มีประสิทธิภาพในการกำจัดสารมลพิษได้สูง
- สามารถรับการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารมลพิษต่างๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอัตราการไหลของน้ำเสียได้ดีพอควร
- เป็นระบบซึ่งสามารถติดตามและควบคุมปริมาณของมวลจุลินทรีย์ได้ง่าย
- สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายของถังเติมอากาศ
ข้อเสีย
- เป็นระบบที่ใช้พลังงานมาก ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูง
- ใช้ผู้ควบคุมระบบที่มีทักษะและได้รับการอบรมด้านการควบคุมมาอย่างดี
- มักเกิดปัญหาที่ต้องแก้ไข เช่น ปัญหาการจมตัวไม่ดีของตะกอนจุลินทรีย์
- มีสลัดจ์ส่วนเกิน ที่ต้องกำจัดต่อเมื่องเป็นประจำ
4.ปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของระบบ AS
- 1. ความเข้มข้นของสารอินทรีย์ในน้ำเสีย
ความเข้มข้นของสารจุลินทรีย์เปลี่ยนแปลงไปมากจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในระบบAS โดยอาจจะทำให้มีอัตราส่วนของอาหารต่อจุลินทรีย์สูง(มีอาหารมาก) ทำให้จำนวนจุลินทรีย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีลักษณะเติบโตกระจายอยู่ทั่ว แทนที่จะรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน เป็นผลให้ตกตะกอนไม่ดี น้ำออกขุ่น และมีค่าสารอินทรีย์หรือบีโอดีในน้ำสูง ในทางกลับกันถ้ามีอัตราส่วนอาหารต่อจุลลินทรีย์ต่ำ(มีอาหารน้อย) จนทำให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตลดน้อยลง ถึงแม้จุลินทรีย์จะตกตะกอนได้เร็วแต่ก็ไม่สามารถจับตะกอนเล็กๆ ตกลงมาได้ ทำให้น้ำออกขุ่น
- 2. อาหารเสริม
จุลินทรีย์ต้องการอาหารเสริม ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งแร่ธาตุเหล่านี้อยู่ในน้ำเสียชุมชน แต่อาจจะมีไม่พอในน้ำเสียอุสาหกรรม การขาดอาหารเสริม ทำให้จุลินทรีย์ฟล็อกเติบโตได้ไม่ดี ทำให้จุลินทรีย์เป็นเส้นใย ซึ่งทำให้AS ตกตะกอนได้ยาก เกิดเป็นชั้นอืดข้นมาสูงในถังตกตะกอน อาจไหลล้นออกมากับน้ำทิ้งจนระบบไม่สามารถทำงานต่อไปได้อีก การที่จุลินทรีย์หลายชนิดเจริญเติบโตได้ไม่ดี ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานต่างๆ ของระบบต่ำลงโดยปกติจะควบคุมบีโอดี 100 กิโลกรัม ไนโตรเจน 5 กิโลกรัม ฟอสฟอรัส 1 กิโลกรัม และเหล็ก 0.5 กิโลกรัม การเติมไนโตรเจนมักใส่ลงในรูปแบบแอมโมเนียหรือยูเรีย ฟอสฟอรัสจะใส่ลงในรูปของกรดฟอสฟอริก เหล็กในรูปของเฟอร์ริกคลอไรด์ เติมสารอาหารเสริมต้องสังเกตและวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำออกให้มีแร่ธาตุต่างๆเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย เพราะถ้าใส่ลงไปมากจะสิ้นเปลืองและสร้างมลพิษซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย
- 3. ออกซิเจนละลายน้ำ
ถังเติมอากาศ ต้องมีค่าออกซิเจนละลายน้ำระหว่าง 1 ถึง 2 มก./ล. ซึ่งปริมาณของอากาศหรือออกซิเจนที่ใช้ เพื่อรักษาความเข้มข้นของออกซิเจนที่ละลายน้ำนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิหากอุณหภูมิสูง จุลินทรีย์สามารถทำงานได้มากก็ต้องการออกซิเจนมาก เมื่ออุณหภูมิน้ำต่ำทำให้ความต้องการเติมอากาศน้อยกว่าที่อุณหภูมิสูง
- 4. ระยะเวลาในการบำบัด
ระยะเวลาต้องมีมากพอที่จุลินทรีย์จะใช้ในการย่อยสลายมลสารต่างๆ ถ้าเวลาต่ำไปสารที่ย่อยยากๆ จะถูกย่อยไม่ถึงขั้นสุดท้ายทำให้มีค่าบีโอดีเหลืออยู่ในน้ำเสียมาก
- 5. ค่าพีเอช
แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีที่ค่าพีเอช 6.5-8.5 ถ้ามีพีเอชต่ำกว่า 6.5 ราจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าแบคทีเรีย ทำให้ประสิทธิภาพต่ำลงและตกตะกอนไม่ดี ถ้าค่าพีเอชสูงก็จะทำให้ฟอสฟอรอรัสแยกตัวออกจากน้ำ และจุลินทรีย์ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้าพีเอชมีค่าต่ำมากหรือสูงมากจุลินทรีย์จะตายหมดไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้
- 6. สารพิษที่มีผลต่อจุลินทรีย์
สารพิษมีสองจำพวก คือ แบบพิษเฉียบพลัน จุลินทรีย์จะตายหมดภายในระยะไม่กี่ชั่วโมง เช่น ไซยาไนด์ อาร์เซนิค อีกแบบคือ พิษออกฤทธิ์ช้า ใช้เวลานานและค่อยๆ ตาย โดยจุลลินทรีย์จะสะสมเอาไว้นเซลล์และเกิดเป็นพิษ จนตายในที่สุด เช่น ทองแดง โลหะหนักต่างๆ หรืออาจเกิดจากสารอินทรีย์ก็ได้เช่น แอมโมเนีย ความเข้มข้นสูงเกิน 500 มก./ล.
- 7. อุณหภูมิ
เป็นปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ การเพิ่มอุณหภูมิทุก 10 องศาเซลเซียส จุลินทรีย์เจริญเติบโตเพิ่มขึ้นอีกเท่านึง จนถึงอุณหภูมิประมาณ 37 องศาเซสเซียส อุณหภูมิจะร้อนเกินไป จนจุลินทรีย์เติบโตน้อยลงอย่างรวดเร็วการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมีผลต่อการทำงานในถังตกตะกอนขั้นที่สอง หากอุณหภูมิต่ำตะกอนจะตกได้ดีกว่าอุณหภูมิสูง
5.วิธีควบคุมระบบบำบัดน้ำเสียแบบAS
มีการควบคุมได้ 2 แบบ
- 1. การควบคุมอัตราส่วนอาหารต่อจุลินทรีย์
จุลินทรีย์ที่มีสมรรถภาพต้องมีปริมาณอาหารที่พอเหมาะ ต้องควบคุมรักษาอัตราส่วนของน้ำหนักบีโอดีที่ส่งเข้ามาบำบัดต่อน้ำหนักจุลินทรีย์ ในทางปฏิบัติการควบคุมปริมาณอาหาร หรือบีโอดีในน้ำเสีย จะควบคุมได้ยาก การทีจะควบคุมค่า F/M ให้เหมาะสมจะอาศัยการเปลี่ยนแปลงค่าน้ำหนักของจุลินทรีย์ โดยการเพิ่มหรือลดการนำสลัดจ์ส่วนเกินไปทิ้ง
- 2. การควบคุมอายุสลัดจ์
อายุสลัดจ์ ระยะเวลาเฉลี่ยที่จุลินทรีย์หมุนเวียนอยู่ในระบบเป็นค่าที่สำคัญในการออกแบบและควบคุมการทำงานของระบบ และทีความสัมพันธ์โดยตรงกับค่าอัตราส่วนอาหารต่อจุลินทรีย์ ควบคุมค่าอายุสลัดจ์ให้มีค่าคงที่จะทำให้อัตราส่วนอาหารต่อจุลินทรีย์มีค่าคงที่ ซึ่งค่าที่ควบคุมเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดคุณภาพของน้ำทิ้ง ในการควบคุมระบบจะต้องทดลองหาค่าอายุสลัดจ์ที่เหมาะสม โดยหาความสัมพันธ์ระหว่างค่าอายุสลัดจ์กับคุณภาพน้ำทิ้ง เช่น บีโอดีและของแข็งแขวนลอยแล้วเลือกค่าที่เหมาะสมที่สุด
การควบคุมหรือการแปลงค่าอายุสลัดจ์ ทำได้โดยปรับอัตราการนำสลัดจ์ส่วนเกินไปทิ้ง ถ้านำไปทิ้งมากอายุสลัดจ์จะลดลง หากนำไปทิ้งน้อยค่าอายุสลัดจ์ก็จะเพิ่มขึ้น การลดอายุสลัดจ์จะทำให้มีน้ำหนักของจุลินทรีย์ที่ต้องนำไปทิ้งเพิ่มขึ้น เนื่องจากจุลินทรีย์มีอัตราการเจริญเติบโตสูงขึ้น แต่ถ้าเพิ่มอายุสลัดจ์จะทำให้เกิดผลตรงข้าม การปรับค่าอายุสลัดจ์ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 1-3 เท่าของค่าอายุสลัดจ์ เพื่อให้ระบบปนับตัวอยู่ในสภาวะคงที่ และจะต้องติดตามคำนวณค่าน้ำหนักของ MLSS และปริมาณจุลินทรีย์ที่ต้องนำไปทิ้ง จนกว่ามีค่าไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
รูปแบบการควบคุมระบบ AS แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังแสดงในตาราง
|
|
6.ปัญหาที่พบบ่อยและแนวทางแก้ไข
6.1น้ำทิ้งไม่ผ่านมาตรฐาน
1. ค่าบีโอดีไม่ผ่านมาตรฐาน
ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่าบีโอดีไม่ผ่านมาตรฐาน
2.ปริมาณของแข็งแขวนลอยไม่ผ่านมาตรฐานฯ
ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่าปริมาณของแข็งแขวนลอยไม่ผ่านมาตรฐาน
|
|
3.ค่าไนโตรเจนในรูปทีเคเอ็นในผ่านมาตรฐาน
ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่าไนโตรเจนในรูปทีเคเอ็นไม่ผ่านมาตรฐาน
4.ค่าซัลไฟด์เกิน
โรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม ที่ดินจัดสรร ไม่ควรเกิน 1 มก./ล. ยกเว้น บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งและน้ำกร่อย อยู่ไม่เกิน 0.01 มก./ล.
ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่าซัลไฟด์ไม่ผ่านมาตรฐาน
5.ค่า FOG เกิน
ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่า FOG ไม่ผ่านมาตรฐาน
6.ค่า TDS เกิน
ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่า TDS ไม่ผ่านมาตรฐาน
6.2 ปัญหาจากระบบบำบัดน้ำเสียไม่สมบูรณ์
1.อุปกรณ์เครื่องจักรกลชำรุด
เครื่องเติมอากาศประเภท Submersible Aerator
ระบบบำบัดน้ำเสียประเภท AS สำหรับอาคารประเภท ก หรือ ข ซึ่งเป็นระบบขนาดเล็กมักนิยมใช้เครื่องเติมอากาศประเภท Submersible Aerator เนื่องจากประหยัดพื้นที่โดยสามารถวางในถังเติมอากาศและไม่มีเสียงรบกวนการชำรุดของเครื่องเดิมอากาศย่อมส่งผลกระทบต่อระบบบำบัดน้ำเสียทันที เนื่องจากจุลินทรีย์ในถังเติมอากาศขาดออกซิเจนในการดำรงชีวิตเป็นผลให้น้ำทิ้งไม่ผ่านมาตรฐานฯ
|
|
เครื่อง Submersible Aerator
ตารางแสดงสาเหตุการชำรุดและแนวทางแก้ไขเครื่องเติมอากาศ Submersible Aerator
เครื่องเติมอากาศประเภท Air Blower
เป็นเครื่องเติมอากาศติดตั้งแยกจากระบบบำบัดน้ำเสีย ส่งอากาศไปตามท่อผ่านหัวกระจายอากาศ เพื่อจ่ายอากาศให้กับถังเติมอากาศอย่างทั่วถึง ถ้าเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ชำรุดจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียเช่นกัน
ตารางแสดงสาเหตุการชำรุดและแนวทางแก้ไขเครื่องเติมอากาศ Air Blower
เครื่องสูบน้ำ
เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในระบบบำบัดน้ำเสีย ใช้ในการสูบน้ำภายในระบบบำบัดน้ำเสีย เช่น การสูบน้ำเสียเข้าถังเติมอากาศ การสูบตะกอนย้อน ถ้าเครื่องสูบน้ำชำรุด อาจต้องเริ่มต้นระบบใหม่ได้
ตารางแสดงสาเหตุการชำรุดและแนวทางแก้ไขเครื่องสูบน้ำ
2.ระบบท่อและวาล์วชำรุด
ท่อและวาล์ว เป็นอุปกรณ์ใช้ควบคุมการไหลของน้ำเสียในระบบ หากชำรุดจะส่งผลให้ไม่สามารถเดินระบบได้ตามต้องการ
ตารางแสดงสาเหตุการชำรุดและแนวทางแก้ไขระบบท่อและวาล์วชำรุด
3.ระบบไฟฟ้าควบคุมชำรุด
ระบบไฟฟ้าควบคุม เป็นศูนย์ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เครื่องจักรกลในระบบ หากชำรุดจะส่งผลให้อุปกรณ์เครื่องจักรกลไม่ทำงานหรือทำให้ระบบเสียหาย
ตารางแสดงสาเหตุการชำรุดและแนวทางแก้ไขระบบไฟฟ้าควบคุมชำรุด
6.3 ปัญหาในการควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย
1.ปัญหาตะกอนลอยที่ผิวหน้าถังตกตะกอน
ตารางแสดงสาเหตุการชำรุดและแนวทางแก้ไขปัญหาตะกอนลอยที่ผิวหน้าถังตกตะกอน
2.ปริมาณมวลตะกอนจุลินทรีย์ (MLSS) ในถังเติมอากาศต่ำ
ต้องควบคุมปริมาณมวลตะกอนจุลินทรีย์ให้เหมาะสมกับปริมาณสารอินทรีย์ดข้าระบบบำบัดน้ำเสีย (ค่าบีโอดี) หากมีปริมาณมวลตะกอนจุลินทรีย์ต่ำจะส่งผลให้ลักษณะน้ำทิ้งไม่ผ่านมาตรฐานฯ ถ้าถังเติมอากาศ มีปริมาณมวลตะกอนจุลินทรีย์ต่ำ น้ำจะมีลักษณะใส แต่ถ้าถังเติมอากาศมีมวลตะกอนจุลินทรีย์เหมาะสมจะเห็นน้ำมีสีออกน้ำตาล
ตารางแสดงสาเหตุการชำรุดและแนวทางแก้ไขปัญหาปริมาณมวลตะกอนจุลินทรีย์ (MLSS) ในถังเติมอากาศ
3.ตะกอนไม่จมตัวลงในถังตกตะกอน
ตารางแสดงปัญหาตะกอนไม่จมและแนวทางในการควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย
ระบบบำบัดน้ำเสียที่เกิดปัญหามวลตะกอนจุลินทรีย์ต่ำหรือปัญหาอื่นๆ ที่ทำให้ระบบบำบัดน้ำเสียล่ม ผู้ดูแลต้องดำเนินการเดินระบบใหม่เพื่อให้ระบบสามารถกลับมาใช้ได้ปกติ
แนวทางการเดินระบบใหม่ มีดังนี้
- ตรวจสอบปรับปรุงสภาพโครงสร้างถังบำบัดน้ำเสียให้อยู่ในสภาพทำงานได้อย่างปกติ ได้แก่
- ไม่มีการตกค้างหรือการทับถมของตะกอนบริเวณมุมถังของถังเติมอากาศและถังตกตะกอน
- สภาพทางน้ำเข้าถังตกตะกอนควรอยู่ในสภาพใช้งานได้ดี
- ไม่มีการรั่วซึมหรือการไหลลัดวงจรภายในระบบบำบัดน้ำเสีย
- ตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องจักรกลให้อยู่ในสภาพใช้งาน ได้แก่
- เครื่องเติมอากาศสามารถทำงานได้ดี
- ตำแหน่งเครื่องเติมอากาศใต้น้ำ หรือหัวกระจายอากาศต้องวางอยู่ในตำแหน่งที่สามารถจ่ายอากาศและกวนผสมน้ำได้อย่างทั่วถึง
- เครื่องสูบตะกอนย้อนกลับได้ตั้งค่าการทำงานได้อย่างเหมาะสม
- เริ่มสูบน้ำเสียเข้าถังเติมอากาศพร้อมจ่ายอากาศอย่างเพียงพอ โดยน้ำเสียที่เข้าระบบบำบัดน้ำเสียควรเริ่มที่ประมาณ 50% ของปริมาณน้ำเสียจริงและค่อย ๆ เพิ่มปริมาณน้ำเสียจนครบ 100% เพื่อเป็นการปรับสภาพให้ระบบบำบัดน้ำเสียคุ้นเคยกับน้ำเสีย
- การเลี้ยงมวลตะกอนจุลินทรีย์
4.1 การเติมหัวเชื้อหรือตะกอนจุลินทรีย์
เพื่อให้ระบบบำบัดน้ำเสียสามารถทำงานได้เร็วขึ้น โดยควรเลือกใช้หัวเชื้อจากระบบบำบัดน้ำเสียประเภทเดียวกันและบำบัดน้ำเสียที่มีลักษณะคล้ายกัน ในการเริ่มเดินระบบควรกำหนดให้มีมวลตะกอนจุลินทรีย์ในถังเติมอากาศประมาณ 500 mg/ โดยสามารถ คำนวณหาปริมาณหัวเชื้อ ดังนี้
ปกติความเข้มข้นของหัวเชื้อในระบบ AS มีค่าระหว่าง 8,000 - 12,000 mg/l หรืออาจสอบถามข้อมูลจากหน่วยงานที่ติดต่อขอหัวเชื้อ
4.2 การเลี้ยงเชื้อจากน้ำเสีย
การเริ่มเดินระบบสามารถเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์จากน้ำเสียที่เข้าระบบได้ เนื่องจากในน้ำเสียมีจุลินทรีย์ที่ใช้ในการบำบัดน้ำเสียโดยระบบสามารถเพาะเชื้อ และคัดสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่เหมาะสมกับระบบบำบัดน้ำเสียได้ด้วยตนเองแต่ต้องใช้เวลาในการเริ่มเดินระบบจึงไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควร
- การตรวจสอบระบบขณะเริ่มเดินระบบ
5.1 มวลตะกอนจุลินทรีย์ (MISS)
เป้าหมายของการเริ่มเดินระบบเพื่อให้ระบบบำบัดน้ำเสียมีสภาวะคงที่ พิจารณาจากค่ามวลตะกอนจุลินทรีย์ ในระบบAS ควรมีมวลตะกอนจุลินทรีย์มีค่าระหว่าง 1,500 - 3,000 mg/l ซึ่งต้องพิจารณาควบคู่กับค่า F/M ที่ออกแบบหรือกำหนดขึ้น การติดตามค่ามวลตะกอนจุลินทรีย์ต้องวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการน้ำเสียจึงไม่สะดวกกับผู้ประกอบการ ในทางปฏิบัติสำหรับระบบบำบัดน้ำเสียขนาดเล็กที่ไม่มีห้องปฏิบัติการน้ำเสียนิยมใช้การตรวจวัดค่า SV30, เพื่อใช้ประมาณการค่ามวลตะกอนจุลินทรีย์ ปกติควรเลี้ยงให้ขั้นตะกอนมีค่า SV30, ประมาณ 150 - 300 ml/l ซึ่งประมาณการค่ามวลตะกอนจุลินทรีย์ประมาณ 1,500 - 2,500 mg/l
5.2 ค่าออกซิเจนละลาย
ค่าออกซิเจนละลายในถังเติมอากาศควรมีค่าประมาณ 1 - 2 m9/ วิเคราะห์ด้วยเครื่องวัด ค่าออกซิเจนละลายประเภทชุดทดสอบภาคสนาม (DO Test Kit)
5.3 ค่าพีเอช
ค่าพีเอชควรมีค่าระหว่าง 6.5 - 7.5 สามารถตรวจสอบได้โดยกระดาษลิตมัส หรือเครื่องวัดประเภท ชุดทดสอบภาคสนาม (pH Test KI)
5.4 ตรวจสอบสังเกตสภาพน้ำเสียในถังเติมอากาศ เช่น สีต้องไม่มีสีดำ ไม่มีฟองและกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเมื่อระบบบำบัดน้ำเสียมีค่ามวลตะกอนจุลินทรีย์และประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียเริ่มมีค่าคงที่แสดงว่าระบบบำบัดน้ำเสียสามารถรองรับน้ำเสียได้เป็นปกติ
- ตรวจสอบปริมาณการสูบตะกอนย้อนกลับ ในช่วงเริ่มเดินระบบควรสูบตะกอนย้อนกลับทั้งหมด 100% โดยไม่มีการทิ้งตะกอนออกเพื่อให้มวลตะกอนจุลินทรีย์ในถังเติมอากาศมีปริมาณ ที่เหมาะสมและคงที่
- ระยะเวลาการเริ่มเดินระบบในระบบ AS ปกติจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน สำหรับการเติมหัวเชื้อในถังเติมอากาศ ส่วนการเริ่มเดินระบบด้วยการเลี้ยงใช้จุลินทรีย์จากน้ำเสียเองอาจต้องใช้เวลานานกว่านี้ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 1 ถึง 3 เดือน
6.4 ปัญหาด้านการจัดการน้ำเสีย
- ผู้ดูแลระบบขาดความรู้ในการเดินระบบที่ถูกวิธี
ส่วนใหญ่เกิดจากการเดินระบบที่ไม่ถูกวิธี เช่น ปัญหาตะกอนลอย มวลตะกอนจุลินทรีย์น้อย ซึ่งมีผลตั้งแต่ระบบบำบัดน้ำเสียทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรจนถึงน้ำทิ้งไม่ผ่านมาตรฐานฯ
ตารางแสดงข้อเสนอการแก้ปัญหาผู้ดูแลระบบขาดความรู้ในการเดินระบบที่ถูกวิธี
- ขาดงบประมาณในการปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสีย
เมื่ออุปกรณ์เครื่องจักรกลชำรุดและไม่มีงบประมาณในการปรับปรุงซ่อมแซม ส่งผลให้ระบบบำบัดน้ำเสียทำงานไม่สมบูรณ์ และทำให้น้ำไม่ผ่านมาตรฐาน
ตารางแสดงข้อเสนอการแก้ปัญหาขาดงบประมาณในการปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสีย
7.ข้อคำนึกถึงและการบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย
7.1ข้อควรคำนึงถึงเกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเสีย
1.การระบายอากาศ
ความสำคัญของการระบายอากาศของระบบบำบัดน้ำเสียขึ้นอยู่กับสถานที่ตั้ง ลักษณะการออกแบบ และเครื่องจักรที่ใช้ ถ้าออกแบบเป็นถังเปิดออกสู่บรรยากาศภายนอก และแยกถังต่างๆ ออกเป็นอิสระก็สามารถใช้การระบายอากาศตามธรรมชาติได้ แต่ต้องระวังเรื่องกลิ่น ไอน้ำและฟองแต่ถ้าเป็นระบบที่ก่อสร้างมิดชิดก็จำเป็นที่จะต้องมีระบบระบายอากาศที่ดีพอปริมาณการถ่ายเทอากาศที่คำนวณได้จากปริมาตรของอากาศในห้อง ไม่ควรต่ำกว่า 15 ครั้งต่อชั่วโมงและอากาศที่ระบายออกจากระบบควรปล่อยออกที่จุดสูงสุดของอาคาร หรือในบริเวณที่ไม่ก่อให้เกิดเหตุเดือดร้อนรำคาญ
2.การป้องกันน้ำท่วม
ถ้าระดับพื้นของโรงบำบัดน้ำเสียอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินภายนอก จะต้องเตรียมบ่อพักและเครื่องสูบน้ำเอาไว้ที่ระดับต่ำสุด เพื่อสูบน้ำที่อาจเกิดจากการรั่วซึมหรืออุบัติเหตุเครื่องสูบน้ำนี้ต้องต่อเข้ากับระบบจ่ายไฟฟ้าสำรองของอาคารด้วย
3.ไฟฟ้าฉุกเฉิน
ต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อจ่ายไฟฟ้าฉุกเฉินให้กับระบบที่จำเป็นในกรณีที่ไฟฟ้าเมนดับ เช่น เครื่องสูบน้ำทิ้งและเครื่องจักรอื่นที่จำเป็น เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อระบบโดยส่วนรวม
4.ไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉิน
dki ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินซึ่งอาจใช้แบตเตอรี่ โดยติดตั้งเอาไว้ตามบริเวณทางเดินตามความเหมาะสมไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉินต้องสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติหากเกิดไฟฟ้าดับขึ้น
5.ระบบควบคุมและอำนวยความสะดวก
- เครื่องวัดพลังงานไฟฟ้า ติดตั้งเพื่อวัดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดของระบบบำบัดน้ำเสีย ซึ่งจะมีประโยชน์ในการควบคุมการประหยัดพลังงาน
- เครื่องวัดชั่วโมงเวลาทำงาน ติดตั้งเพื่อวัดระยะเวลาการทำงานของเครื่องไฟฟ้าที่มีการกำหนดระยะเวลาในการซ่อมบำรุงที่แน่นอน เช่น เครื่องสูบน้ำ และเพื่อความสะดวกในการใช้เครื่องสำรอง
- เครื่องมือวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ได้แก่ เครื่องมือที่จำเป็นในการควบคุมการทำงานของระบบ เช่นเครื่องวัด pH เครื่องแก้ว และสารเคมี
- ท่อระบายน้ำของถังต่าง ๆ ที่ระดับของถังทุกถังควรทำเป็นหลุมลึกประมาณ 0.5 เมตร เพื่อใช้ดูดหรือระบายน้ำออกจากถังในกรณีที่ต้องการซ่อมบำรุงถังหรืออุปกรณ์ต่างๆ ท่อระบายน้ำทิ้งนี้อาจต่อไปลงบ่อพักน้ำเสียที่ก่อสร้างเอาไว้ที่ระดับต่ำสุด หรือใช้เครื่องสูบน้ำซึ่งได้ติดตั้งเอาไว้เพื่อการสูบน้ำทิ้งโดยเฉพาะก็ได้
6.ระบบซ่อมบำรุงรักษา
- รอกไฟฟ้า เพื่อใช้ยกและลำเลียงและซ่อมเครื่องจักร ควรติดตั้งเครื่องจักรในแนวเดียวกับรอกไฟฟ้า โดยไม่มีสิ่งก่อสร้างหรีอวางเส้นท่อขวางทางวิ่งของรอกไฟฟ้า
- เครื่องจักรสำรอง เช่น เครื่องสูบน้ำ เครื่องเติมอากาศ ควรมีเครื่องจักรสำรองเมื่อเกิดการชำรุดเสียหาย
- จัดทำแผนช่อมบำรุง ควรจัดทำแผนการช่อมบำรุงให้แก่เครื่องจักรแต่ละเครื่อง เพื่อป้องกันการชำรุดเสียหาย
7.การควบคุมการทำงานของระบบ
ผู้ออกแบบต้องเป็นผู้จัดทำคู่มือสำหรับควบคุมการทำงาน เนื่องจากเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขต่างๆ ตั้งแต่การออกแบบกระบวนการบำบัดและเครื่องจักรต่าง ๆ โดยในคู่มือควรประกอบด้วย วิธีและขั้นตอนเริ่มการทำงาน(start up) วิธีควบคุมระบบตามปกติ แผนการซ่อมบำรุง รวมถึงวิธีแก้ปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
7.2การบำรุงรักษาเครื่องสูบน้ำและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในระบบบำบัดน้ำเสีย
เครื่องสูบน้ำ
ระบบบำบัดน้ำเสียส่วนใหญ่นิยมใช้เครื่องสูบน้ำแบบจุ่มแขในน้ำ เนื่องจากสะดวกในการใช้ โดยจุ่มเครื่องสูบน้ำทั้งตัวลงในบ่อสูบ มอเตอร์และห้องบังคับน้ำจึงต้องออกแบบเป็นพิเศษเพื่อป้องกันมิให้น้ำรั่วซึมเข้าห้องขับเคลื่อนและไม่เกิดไฟช็อตได้ การบำรุงรักษา เครื่องสูบน้ำจะต้องทำควบคู่ไปกับส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง เช่น บ่อสูบ สายไฟ ลูกลอย
การตรวจสอบประจำและบำรุงรักษาเครื่องสูบน้ำล่วงหน้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เครื่องสูบน้ำมีประสิทธิภาพในการทำงาน และมีอายุการใช้งานนานขึ้น
- ทำความสะอาดบ่อสูบมิให้มีเศษไม้ ก้อนหิน พลาสติก ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันแก่เครื่องสูบน้ำได้ โดยทำความสะอาดเดือนละครั้ง
- ควรตรวจสอบระดับน้ำในบ่อสูบให้มีระดับห่างตัวเรือนเครื่องสูบตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศถูกดูดเข้าเครื่อง หรือเครื่องสูบน้ำอาจจะร้อนจนถึงระดับเกิดความเสียหายได้
- ทำความสะอาดลูกลอยและสายปรับระดับ เปลี่ยนหรือซ่อมแซมชิ้นส่วนที่ชำรุดโดยปกติควรทำความสะอาดเดือนละครั้ง
- ตรวจการทำงานของตู้ควบคุมอัตโนมัติโดยช่างไฟฟ้าเพื่อดูกระแสไฟฟ้าที่เข้ามอเตอร์ ควรตรวจทุกวัน
- ตรวจสอบน้ำมันหล่อลื่นซีลในห้องน้ำมัน โดยการเปิดปลั๊กอุดแล้วเทน้ำมันออกตรวจสอบ หากมีน้ำเข้าน้ำมันจะมีสีขาวขุ่น จะต้องถ่ายน้ำมันเครื่อง การถ่ายน้ำมันเครื่องออกจะต้องผ่านทางรูน้ำมันออก โดยการคลายเกลียวออก แล้วจับเครื่องสูบวางในแนวนอนให้รูน้ำมันออกอยู่ด้านล่าง จากนั้นก็คลายเกลียวรูน้ำมันเข้า น้ำมันจะไหลออกมาเอง
บ่อสูบน้ำ
- ปรับระดับของลูกลอยเพื่อให้เครื่องสูบน้ำทำงานได้เหมาะสมกับอัตราน้ำเสียเข้า โดยปกติควรปรับลูกลอยให้ทำงานเฉลี่ย 15 นาที/ครั้ง และให้หยุดพักทำงานแต่ละช่วงเวลา 15 นาที
- ควรมีเครื่องสูบน้ำสำรองเผื่อในกรณีที่เกิดเครื่องสูบน้ำเสียฉุกเฉิน
- ควรตัดวงจรไฟฟ้าก่อนที่จะลงไปซ่อมในบ่อสูบ
- ควรเปิดฝาบ่อสูบทิ้งไว้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ก๊าซที่สะสมอยู่ในบ่อสูบระเหยออกไปก่อนที่จะเข้าไปซ่อมบำรุง
- ควรมีผู้ร่วมงานอย่างน้อย 1 คน เพื่อคอยช่วยดึงเชือกซึ่งผูกติดกับเอวของผู้ที่ลงไปซ่อมบำรุงในบ่อสูบ
- ไม่ควรสูบบุหรี่ขณะลงไปในบ่อสูบ
- ทาสีกันสนิมบันไดลงบ่อสูบทุกๆ 6 เดือน
ลูกลอย
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องสูบน้ำ ลูกลอยประกอบด้วยสวิตช์ปรอทจะไหลปิดวงจรซึ่งจะทำให้เกิดกระแสไฟไหลในวงจร จะทำให้เครื่องสูบน้ำเริ่มทำงาน
หัวฟู่อากาศ
- ควรอัดอากาศในปริมาณที่สูงเพื่อไล่เศษตะกอน
- ตรวจสอบการกระจายอากาศให้ทั่วถึง กรณีที่ปริมาณอากาศน้อยเกินไป ควรตรวจเช็คอุปกรณ์พร้อม
- ทำความสะอาด และเพิ่มปริมาณอากาศให้มากขึ้น
- ตรวจสอบรอยรั่วตามท่อหลักเป็นประจำ
- หมั่นตรวจตะกอนสะสมอยู่ใต้ระบบเติมอากาศที่พื้นบ่อ ควรลดปริมาณตะกอนสะสมหรือใช้เครื่องผสม (Mixer) เผื่อกวนน้ำ
- ตรวจสอบปริมาณออกซิเจนเป็นประจำเพื่อจะได้ปรับเพิ่มปริมาณอากาศให้พอเพียง
เครื่องเป่าอากาศ
- ต้องสังเกตการเป่าอากาศเกิดขึ้นปกติหรือไม่ ถ้ามีอากาศน้อยควรตรวจสอบระบบท่อว่ามีการรั่วไหลหรือไม่
- ตรวจสอบระดับเสียงดังเมื่อเดินเครื่องหรือการสั่นสะเทือน ถ้าสูงมากควรตรวจสอบการหมุนของใบพัดว่าหมุนสมดุลหรือไม่ และตรวจสอบระบบเกียร์
- หากเครื่องร้อนผิดปกติ ให้ตรวจสอบน้ำมันหล่อลื่น การหล่อเย็นน้ำมันหล่อลื่นไม่พอเพียงหรือการใช้น้ำมันหล่อลื่นผิดประเภท หรือเกิดจากแผ่นกรองน้ำมันอุดตัน
ใบพัดเติมอากาศ
เครื่องเติมอากาศระบบบำบัดน้ำเสียแบบใบพัด ซึ่งทำหน้าที่เติมอากาศโดยการตีน้ำให้เป็นฝอยสัมผัสกับอากาศ และทำหน้าที่ทำให้น้ำไหลวนเกิดการผสมกันอย่างทั่วถึง
- อัดจารบีแบริ่งลูกปืน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- ทาสีกันสนิมใหม่ทุก 6 เดือน
- ตรวจสอบศูนย์เพลาทุก 6 เดือน
- ปรับระดับใบพัดเติมอากาศให้เหมาะสม
เครื่องตัดวงจรไฟฟ้าฉุกเฉิน
เป็นส่วนประกอบระบบไฟฟ้าที่ทำหน้าที่ป้องกันการลัดวงจรไฟฟ้า หรือที่เรียกว่าไฟฟ้าช็อต เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลในวงจรสูงกว่าที่กำหนด ทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าไม่ให้ไหลในวงจร ระบบจะหยุดทำงานทันที ดังนั้นก่อนจะสับขา
ฟิวส์
เป็นตัวป้องกันการลัดวงจรไฟฟ้าเหมือน Circuit Breaker แต่ต้องเปลี่ยนฟิวส์ใหม่ทุกครั้ง ถ้าเกิดกระแสไฟ
ลัดวงจรสูง ฟิวส์จะขาด
ลานตากสลัดจ์
- ควรสูบสลัดจ์เข้าสู่ลานตากเพียงลานเดียว ความสูงในลานตากประมาณ 20 - 25 ซม.
- ใช้เวลาในการตากสลัดจ์ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์
- ในกรณีมีสลัดจ์มากต้องเพิ่มลานตากให้เหมาะสม และสามารถหมุนเวียนการใช้งาน
- ปรับชั้นทรายให้มีความหนาทุกครั้งที่มีการลอกแผ่นสลัดจ์แห้งออกแล้ว
- ไม่ควรเหยียบย่ำชั้นทราย
เครื่องรีดน้ำ
- ก่อนเดินเครื่องควรตรวจสอบ
- เปิดเครื่องสูบสลัดจ์ให้ทำงาน
- ตรวจสอบ Emergency Switch
- ตรวจสอบตำแหน่งสายพาน
- เปิด cake Conveyor
- กรณีเครื่องรีดน้ำหยุดทำงาน ให้ตรวจสอบว่า
- สายพานอยู่ในตำแหน่งถูกต้องหรือไม่
- มีสลัดจ์เข้าระบบหรือไม่
- การรวมตัวของสลัดจ์กับโพลิเมอร์ดีหรือไม่
8.การวิเคราะห์ปัญหาระบบบำบัดรน้ำเสียอาคารและแนวทางการปรับปรุง
ตารางแสดงขั้นตอนเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียให้มีประสิทธิภาพ สำหรับน้ำทิ้งจากอาคารที่ไม่สามารถควบคุมให้ผ่านมาตรฐานได้
8.1 การตรวจสอบข้อมูล รูปแบบ และรายละเอียดระบบบำบัดน้ำเสีย
การตรวจสอบระบบบำบัดน้ำเสีย ผู้ตรวจสอบต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเสียให้มากที่สุด เพื่อดูว่าระบบบำบัดเป็นประเภทไหน
- แบบก่อสร้างจริง เป็นข้อมูลเกี่ยวกับแบบระบบบำบัดน้ำเสีย ขนาดถัง ตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆ แนวท่อและวาล์ว
- คู่มือการเดินระบบ ซึ่งประกอบด้วยความรู้พื้นฐานของระบบบำบัดน้ำเสีย ข้อมูลอุปกรณ์ วิธีการควบคุม
- รายการคำนวณประกอบแบบ เป็นข้อมูลในการออกแบบ เช่น ความสามารถในการรองรับน้ำเสีย ลักษณะน้ำเข้าระบบ
- รูปแบบระบบน้ำเสีย ตรวจสอบจากการสอบถามผู้ดูแลระบบโดยผู้ตรวจสอบต้องพิจารณาและวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของระบบบำบัดนั้นๆ
ตัวอย่างรูปแบบระบบบำบัดน้ำเสีย
- ขนาดถังระบบบำบัด ทำการตรวจวัดขนาดถังบำบัดน้ำเสีย ดูจำนวน และ กว้าง x ยาว x สูง ของถัง
- ข้อมูลอุปกรณ์และเครื่องจักรกล จำแนกประเภท จำนวน ยี่ห้อ รุ่น สภาพการใช้งาน จดบันทึกลงตาราง
- แนวท่อและวาล์ว บอกถึงทิศทางการไหลของน้ำเสีย ตรวจสอบลำบากจำเป็นต้องสอบถามข้อมูลจากผู้ดูแลระบบ
- ระบบไฟฟ้าควบคุม ตรวจสอบจำนวนเบรกเกอร์ควบคุมอุปกรณ์ว่าตรงกับจำนวนอุปกรณ์ในระบบบำบัดหรือไม่ ตรวจสอบสภาพการใช้งาน
- การควบคุมระบบในปัจจุบัน ข้อมูลการควบคุมระบบเพื่อตรวจสอบว่าผู้ดูแลระบบมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบหรือไม่
8.2 การตรวจสอบปริมาณและลักษณะน้ำเสีย
ปริมาณและลักษณะน้ำเสีย ที่เข้าระบบเป็นข้อมูลสำคัญในการตรวจสอบระบบ ซึ่งจะใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบความสามารถในการรองรับน้ำเสียเข้าระบบ แต่การประมาณที่ง่ายที่สุดคือประมาณจากน้ำประปา โดยปริมาณน้ำเสียเกิดขึ้นประมาณร้อยละ 80 ของปริมาณน้ำประปา
8.3 การตรวจสอบความสามารถในการรองรับน้ำเสียของระบบ
การนำเอาข้อมูลปริมาณลักษณะน้ำเสีย ขนาดถัง และอุปกรณ์เครื่องจักรกล มาตรวจสอบรายการคำนวณ และดูความสามารถการรองรับน้ำเสียในปัจจุบัน โดยแยกตามหน่วยบำบัด
เกณฑ์การออกแบบ
8.4 การตรวจสอบสถานภาพของระบบ
บ่งบอกถึงการทำงานของระบบว่าสมบูรณ์เพียงใด
1. สีของตะกอน ถังเติมอากาศที่ดีควรเป็นสีน้ำตาลเข้ม
2. กลิ่น กลิ่นของน้ำในถังเติมอากาศ ควรมีกลิ่นคล้ายดิน
3. ฟอง บอกถึงลักษณะการทำงานของระบบได้หลายอย่าง ฟองสีขาว-อายตะกอนจุลินทรีย์น้อยเกินไปต้องลดปริมาณการทิ้งตะกอนออกจากระบบ ฟองสีน้ำตาล-อายุตะกอนจุลินทรีย์สูงเกินไปต้องทิ้งตะกอนออกจากระบบมากขึ้น
4. ลักษณะการเติมอากาศ ต้องสามารถกวนผสมได้อย่างทั่วถึงทั้งบ่อ
5. ตะกอนลอย เกิดได้หลายสาเหตุ
- มีน้ำมันหลุดเข้ามาในระบบมากทำให้ตะกอนจุลินทรีย์ตกตะกอนไม่ดี
- การเติมอากาศมากเกินไป
- การเกิดมีตะกอนจุลินทรีย์ค้างอยู่ในถังตกตะกอนนานเกินไป
6. ลักษณะของน้ำทิ้ง เป็นตัวชี้วีดประสิทธิภาพการทำงานของระบบ หากน้ำทิ้งขุ่นอาจจะมาจากถังตกตะกอนทำงานไม่ดีอาจเกิดจากการน้ำไหลลัดวงจร
8.5 การวิเคราะห์ปัญหาและแก้ไข
ผู้ตรวจสอบต้องวิเคราะห์ปัญหาและระบุสาเหตุพร้อมทั้งกำหนดวิธีการแก้ไข
ขั้นตอนการวิเคราะห์ปัญหา
- ดูว่าพารามิเตอร์ไหนไม่ผ่านมาตรฐาน
- ตั้งสมมติฐานที่ทำให้เกิดปัญหา
- ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเสีย
- สอบถามผู้ดูแลระบบเกี่ยวกับวิธีการเดินระบบในปัจจุบัน
- ตรวจสอบระบบตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
- ตัดประเด็นสมมติฐานที่ตรวจสอบแล้วว่าไม่ใช่สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหา
- สรุปปัญหา และแนวทางแก้ไข
8.6 การวางแผนงานการปรับปรุงระบบ
เมื่อรู้วิธีแก้ไข ผู้ตรวจสอบต้องวางแผนการปรับปรุงโดยกำหนดขั้นตอนการดำเนินงาน ปนะมาณค่าใช่จ่าย และกำหนดระยะเวลา
8.7สรุปผลการปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสีย
เมื่อปรับปรุงเสร็จแล้ว ผู้ตรวจสอบต้องทำการติดตามผลการดำเนินงานและสรุปผลการปรับปรุง สรุประยะเวลาและค่าใช้จ่าย เพื่อบันทึกข้อมูลเป็นผลดำเนินงานและเป็นประโยชน์ต่อผู้ดูแลระบบใช้เป็นแนวทางแก้ไขระบบบำบัดน้ำเสียในอนาคต
|
|