คู้มือดูเเลระบบบำบัดน้ำเสียอาคาร

รุปคู่มือ ความรู้เกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเสียแบบ AS สำหรับอาคาร

 

AS (Activated Sludge)

  • นิยมใช้ในอาคารขนาดใหญ่
  • เป็นการบำบัดน้ำเสียทางชีวภาพประเภทใช้อากาศ
  • มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายมลพิษ

 

แบ่งหัวข้อ

  1. มีอะไรในน้ำเสียบ้าง
  2. เมื่อเกิดน้ำเสียแล้วจะทำอย่างไร
  3. ทำความรู้จักระบบ AS
  4. ปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานระบบ AS
  5. วิธีควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย AS
  6. ปัญหาที่พบบ่อยและแนวทางแก้ไข
  7. ข้อคำนึงและการบำรุงรักษาระบบน้ำเสีย
  8. การวิเคราะห์ปัญหาระบบน้ำเสียอาคารและการปรับปรุง

 

1.มีอะไรบ้างในน้ำเสีย

1.1น้ำเสียมีอะไรบ้าง

น้ำเสียเป็นน้ำเสียชุมชน ส่วนใหญ่มาจาก การประกอบกิจกรรมของผู้ที่อยู่อาศัย จากการประกอบอาหาร การชำระล้างต่างๆ

คุณลักษณะ ใช้วัดน้ำเสีย(Parameter)

  1. pH บอกความเป็นกรด-ด่าง
  2. BOD (Biochemical Oxygen Demand) บอกปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์
  3. ปริมาณของแข็ง คือปริมาณสารต่างๆ ที่มีอยู่ในน้ำเสียทั้งละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ
  4. ไนโตรเจน เป็นหนึ่งในสารอาหาร จำเป็นต่อการสร้างเซลล์สิ่งมีชีวิตในน้ำเสีย
  5. ไขมันและน้ำมัน ได้แก่ ไขมันและน้ำมันที่ได้จากพืชและสัตว์ จากการทำอาหาร, สบู่จากการอาบน้ำ
  6. COD (Chemical Oxygen Demand) ค่าปริมาณออกซิเจนใช้ในการย่อยสารอินทรีย์ด้วยวิธีการทางเคมี

1.2 ปริมาณน้ำเสีย

ปริมาณน้ำเสียที่ปล่อยทิ้ง จะมีค่าร้อยละ 80 ของปริมาณน้ำใช้โดยประมาณ หรือสามารถประเมินได้จากจำนวนประชากรหรือพื้นที่อาคาร

 

  • การประมาณปริมาณน้ำเสียจากอาคาร คำนวณได้ 2 วิธี
  1. คิดจากจำนวนคนที่อยู่อาศัย(คิดตามหน่วยต่อคน)
  2. คิดจากอัตราการมใช้น้ำประปา (น้ำที่ใช้ x 0.65 ถึง 0.90)

2.1 เกิดน้ำเสียแล้วทำยังไง

            โดยธรรมชาติน้ำเสียเกิดแล้วจะย่อยสลายตามธรรมชาติ แต่น้ำเสียจากชุมชนมีความสกปรกสูง ทำให้จุลินทรีย์ ไม่สามารถย่อยสลายได้ทัน จึงมีกฎหมายกำหนดมลพิษที่ปล่อยน้ำเสีย

 

ตารางแสดง ขนาดและประเภทของอาคารที่กำหนดมาตรฐานระบายน้ำทิ้ง

 

 

 

ตารางแสดงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากอาคารขนาดต่างๆ

 

 

 

 

การเก็บน้ำตัวอย่างทำได้โดย เก็บ ณ จุดระบายน้ำออกสู่สิ่งแวดล้อมนอกเขตพื้นที่อาคาร หรือจุดที่ระบายปล่อยสู่แหล่งน้ำ (มีจุดระบายน้ำหลายจุดก็เก็บทุกจุด)

 

 

 

 

 

 

 

 

3.ระบบAS คือ

 

หลักการทำงาน

เป็นระบบบัดน้ำเสียแบบตะกอนเร่ง เป็นการบำบัดทางชีวภาพ ใช้จุลินทรีย์แบบใช้อากาศ ในการย่อยสลายสิ่งเจือปนในน้ำเสีย สามารถลดค่าความสกปรกของน้ำเสียได้ และมีประสิทธิภาพในการบำบัดที่สูง แต่การใช้ระบบนี้จะมีความยุ่งยากซับซ้อนอยู่ จึงจำเป็น ต้องมีการกำหนดสภาวะแวดล้อม ลักษณะทางกายภาพต่างๆ ให้เหมาะสมแก่การทำงาน และต้องเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์ เพื่อให้ระบบมีประสิทธิภาพในการบำบัดที่สูง

ระบบ AS จำเป็นต้องมีออกซิเจนสำหรับจุลินทรีย์ เพื่อใช้ในการย่อยอาหาร โดยอาหารของของสารอินทรีย์คือ สารคาร์บอนอินทรีย์ ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส ความสกปรกเหล่านี้จะถูกย่อยสลายเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์เกิดเป็นเซลล์ใหม่ โดยมีสมการย่อยสลายเหมือนกันมนุษย์

 
   

 

 

 

จากสมการขั้นต้นทำให้รู้ว่า การกำจัดน้ำเสียด้วยวิธีการนี้ต้องอาศัยปัจจัย ได้แก่

  • มีปริมาณจุลินทรีย์ให้เพียงพอ
  • มีปริมาณออกซิเจนในน้ำที่เพียงพอ
  • มีกระบวนการแยกจุลินทรีย์ออกจากน้ำหลังการบำบัด เพื่อแยกสิ่งสกปรกกับน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว

 

ส่วนประกอบของระบบ AS

มีอย่างน้อย 4 ส่วน คือ

  1. ถังเติมอากาศ
  2. ถังตกตะกอน
  3. ระบบหมุนเวียนตะกอน
  4. ระบบระบายตะหอนส่วนเกิน

 

กรณีน้ำเสียมีตะกอนแขวนลอยสูงอาจจะต้องเพิ่มถังตกตะกอนอีก 1 ใบ ไว้หน้าถังเติมอากาศ เพื่อกำจัดตะกอนออกก่อน

 

หน้าตาของระบบ AS

 
   

 

 

 

 

ถังเติมอากาศมีหน้าที่ เป็นถังเลี้ยงจุลินทรีย์ที่ใช้ O2 ให้กินสารอินทรีย์ในน้ำเสียเป็นอาหารหลังการบำบัดจุลินทรีย์ที่มีในระบบถือเป็นสิ่งสกปรก จึงต้องมีการแยกจุลินทรีย์ออกจากน้ำก่อนโดยถังตกตะกอน เครื่องเติมอากาศสามารถใช้แบบแอเรเตอร์หรือแบบเป่าอากาศให้กับน้ำได้ เครื่องเติมอากาศเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับเพิ่มออกซิเจนให้จุลินทรีย์ใช้ย่อยสลายความสกปรกในน้ำเสีย ทำให้จุลินทรีย์สามารถสัมผัสกับน้ำเสียได้อย่างทั่วถึง จุลินทรีย์ที่ทำงานได้ดี จะเป็นตะกอนแขวนลอยสีน้ำตาลและตกตะกอนได้ดีแต่หากมีการหยุดเติมอากาศ ถังตกตะกอนจะไม่สามารถแยกจุลินทรีย์ออกจากน้ำได้ เป็นเหตุให้การกำจัดน้ำเสียไม่ได้ผลเท่าที่ควรเมื่อแยกจุลินทรีย์แล้ว น้ำใสจะล้นออกทางขอบบน ตะกอนจุลินทรีย์จะจมลงสู่ก้นถังตกตะกอน และจะถูกส่งกลับไปให้ถังเติมอากาศ เพื่อรักษาระดับความเข้มข้นของจุลินทรีย์ให้มีระดับเพียงพอสำหรับกำจัดน้ำเสียทั้งหมด เนื่องจากแบคทีเรียมีการเพิ่มจำนวนตลอดเวลาจึงต้องมีการระบายตะกอนจุลินทรีย์ส่วนเกินทิ้งบ้าว ซึ่งสามารถระบายทิ้งได้จากก้นถังตกตะกอนหรือ จากถังเติมอากาศ ตามความเหมาะสม

 

รูปส่วนประกอบของจุลินทรีย์ในระบบ AS

 
   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


จะสรุปได้ว่าวัตถุประสงค์ของการบำบัดน้ำเสียแบบ AS สามารถลดมลสารอินทรีย์ที่มีอยู่นน้ำเสียให้มากที่สุดในเวลาอันสั้น วิธีนี้มีประสทธิภาพในการทำงานสูงกว่าร้อยละ 90 และน้ำที่ผ่านการบำบัดสามารถทิ้งลงคลองได้

 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับระบบ AS

  • ระยะเวลาที่อยู่ในถังเติมอากาศประมาณ 6-12 ชั่วโมง ถังลึก 3-6 เมตร หลังจากนั้นค่อยปล่อยน้ำเสียเข้า
  • ถังตกตะกอนทำหน้าที่แยกเชื้อจุลินทรีย์ออกจากน้ำเสีย ตะกอนจุลินทรีย์ส่วนหนึ่งถูกส่งยังถังเติมอากาศใหม่ เพื่อเป็นเชื้อในการบำบัดต่อไป ส่วนตะกอนจุลินทรีย์ที่เหลือถูกส่งไปยังระบบกำจัดสลัดจ์
  • การเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์ให้รักษาความเข้มข้น MLSS 1500-3000 มิลลิกรัม/ลิตร ในถังเติมอากาศ
  • อัตราส่วนอาหารต่อจุลินทรีย์ (F/M) ระหว่าง 0.25-0.5 กรัมบีโอดี/กรัมตะกอน-วัน
  • ถังตกตะกอนควรเป็นแบบถังกลมพร้อมใบกวาด มีระยะตกตะกอนนานไม่ต่ำกว่าประมาณ 6 ชั่วโมง
  • การตรวจสอบที่ควรกระทำที่สภาวะควบคุมต่างๆ ที่เหมาะสม เช่น ปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำ,SRT,F/M ระบบจึงทำงานได้ดีที่สุด
  • การตรวจสอบถังเติมอากาศของระบบAS วัดทั้งความสามารถในการกำจัดสารอินทรีย์ ลักษณะการจมตัวขิงสลัดจ์ ที่อยู่ในถังเติมอากาศ โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อลักษณะของสลัดจ์ เช่นการปรับระดับการเติมอากาศ อัตราการหมุนเวียนสลัดจ์ อัตราการทิ้งสลัดจ์ ซึ่งจะเป็นตังกำหนดความเข้มข้นและลักษณะของสลัดจ์ โดยไม่มีผลต่อหน้าที่ในด้านการกำจัดสารอินทรีย์

 

ประเภทของระบบ AS แบ่งเป็น 4 ประเภท

  1. ระบบASแบบกวนสมบูรณ์
  2. ระบบASแบบปรับเสถียรสัมผัส
  3. ระบบคลองวนเวียน
  4. ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเอลบีอาร์

 

ระบบ AS แบบกวนสมบูรณ์

ถังเติมอากาศต้องรักษาสภาพให้สามารถกวนให้น้ำและสลัดจ์ อยู่ในถังผสมเป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั่วทั้งถังเติมอากาศ

ข้อดีคือ สามารถรองรับน้ำเสียที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ดี เนื่องจากน้ำเสียจะกระจายไปทั่วถึง และสภาพแวดล้อมต่างๆ ในถังเติมอากาศก็มีค่าสม่ำเสมอทำให้จุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่มีอยู่มีลักษณะเดียวกันตลอดทั้งถัง เช่นช่วงแอน็อกซิก เพื่อย่อยสลายไนโตรเจน

 
   

 

 

 

 

 

 

 


ระบบASแบบปรับเสถียรสัมผัส

ระบบนี้จะแบ่งถังเติมอากาศเป็น 2 ถัง ได้แก่ ถังสัมผัส และถังย่อยสลาย โดยตะกอนที่สูบมาจากก้นถังตะกอนขั้นสอง จะถูกส่งมาเติมอากาศใหม่ ในถังย่อยสลาย ตะกอนจะถูกส่งมาสัมผัสกับน้ำเสียในถังสัมผัส เพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสียในถังสัมผัสนี้ความเข้มข้นของสลัดจ์จะลดลงตามปริมาณน้ำเสียที่ผสมเข้ามาใหม่ น้ำใสส่วนบนจะถูกระบายออกจากระบบ ตะกอนที่ก้นถังส่วนหนึ่งจะถูกสูบกลับเข้าไปในถังย่อยสลาย อีกส่วนจะนำไปทิ้ง ทำให้บ่อเติมอากาศที่มีขนาดเล็กกว่าบ่อเติมอากาศของระบบตะกอนเร่งทั่วไป

 
   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ระบบคลองวนเวียน

ถังเติมอากาศจะมีลักษณะเป็นวงรี หรือวงกลม ทำให้น้ำไหลเวียนตามแนวยาวของถังเติมอากาศ และรูปแบบการกวนที่ใช้เครื่องกลเติมอากาศตีน้ำในแนวนอน รูปแบบของถังเติมอากาศลักษณะนี้จะทำให้เกิดสภาวะแอนอกซิค เป็นสภาวะที่ไม่มีออกซิเจนละลายในน้ำ ทำให้ไนเตรทไนโตรเจน (NO3-) ถูกเปลี่ยนเป็นก๊าซไนโตรเจน(N2 ) โดยจุลินทรีย์จำพวกไนตริฟายอิงจุลินทรีย์ ทำให้ระบบสามารถบำบัดไนโตรเจนได้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเอสบีอาร์

เป็นระบบAS ประเภทเติมเข้า-ถ่ายออก มีขั้นตอนในกสรบำบัดน้ำเสียแตกต่างจากระบบ AS แบบอื่นๆ คือ การเติมอากาศ การตกตะกอน การเดินระบบบำบัดน้ำเสียแบบเอสบีอาร์ 1 รอบการทำงาน จะมี 5 ช่วงตามลำดับ

  1. ช่วงเติมน้ำเสีย น้ำเสียเข้าระบบ
  2. ช่วงทำปฏิกิริยา เป็นการลดสารอินทรีย์ในน้ำ
  3. ช่วงตกตะกอน ทำให้ตะกอนจุลินทรีย์ ตกลงก้นถังปฏิกิริยา
  4. ช่วงระบายน้ำทิ้ง ระบายน้ำที่ผ่านการบำบัด
  5. ช่วงพักระบบ เพื่อซ่อมแซมหรือ รับน้ำใหม่

 

 

 
   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ข้อดี-ข้อเสีย ของระบบAS

ข้อดี

  1. ใช้พื้นที่ก่อสร้างน้อย เมื่อเทียบกับกระบวนการบำบัดทางชีววิทยาแบบอื่นๆ
  2. มีประสิทธิภาพในการกำจัดสารมลพิษได้สูง
  3. สามารถรับการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารมลพิษต่างๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอัตราการไหลของน้ำเสียได้ดีพอควร
  4. เป็นระบบซึ่งสามารถติดตามและควบคุมปริมาณของมวลจุลินทรีย์ได้ง่าย
  5. สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายของถังเติมอากาศ

ข้อเสีย

  1. เป็นระบบที่ใช้พลังงานมาก ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูง
  2. ใช้ผู้ควบคุมระบบที่มีทักษะและได้รับการอบรมด้านการควบคุมมาอย่างดี
  3. มักเกิดปัญหาที่ต้องแก้ไข เช่น ปัญหาการจมตัวไม่ดีของตะกอนจุลินทรีย์
  4. มีสลัดจ์ส่วนเกิน ที่ต้องกำจัดต่อเมื่องเป็นประจำ

 


 

4.ปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของระบบ AS

  1. 1.      ความเข้มข้นของสารอินทรีย์ในน้ำเสีย

ความเข้มข้นของสารจุลินทรีย์เปลี่ยนแปลงไปมากจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในระบบAS โดยอาจจะทำให้มีอัตราส่วนของอาหารต่อจุลินทรีย์สูง(มีอาหารมาก) ทำให้จำนวนจุลินทรีย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีลักษณะเติบโตกระจายอยู่ทั่ว แทนที่จะรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน เป็นผลให้ตกตะกอนไม่ดี น้ำออกขุ่น และมีค่าสารอินทรีย์หรือบีโอดีในน้ำสูง ในทางกลับกันถ้ามีอัตราส่วนอาหารต่อจุลลินทรีย์ต่ำ(มีอาหารน้อย) จนทำให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตลดน้อยลง ถึงแม้จุลินทรีย์จะตกตะกอนได้เร็วแต่ก็ไม่สามารถจับตะกอนเล็กๆ ตกลงมาได้ ทำให้น้ำออกขุ่น

  1. 2.      อาหารเสริม

จุลินทรีย์ต้องการอาหารเสริม ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งแร่ธาตุเหล่านี้อยู่ในน้ำเสียชุมชน แต่อาจจะมีไม่พอในน้ำเสียอุสาหกรรม การขาดอาหารเสริม ทำให้จุลินทรีย์ฟล็อกเติบโตได้ไม่ดี ทำให้จุลินทรีย์เป็นเส้นใย ซึ่งทำให้AS ตกตะกอนได้ยาก เกิดเป็นชั้นอืดข้นมาสูงในถังตกตะกอน อาจไหลล้นออกมากับน้ำทิ้งจนระบบไม่สามารถทำงานต่อไปได้อีก การที่จุลินทรีย์หลายชนิดเจริญเติบโตได้ไม่ดี ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานต่างๆ ของระบบต่ำลงโดยปกติจะควบคุมบีโอดี 100 กิโลกรัม ไนโตรเจน 5 กิโลกรัม ฟอสฟอรัส 1 กิโลกรัม และเหล็ก 0.5 กิโลกรัม การเติมไนโตรเจนมักใส่ลงในรูปแบบแอมโมเนียหรือยูเรีย ฟอสฟอรัสจะใส่ลงในรูปของกรดฟอสฟอริก เหล็กในรูปของเฟอร์ริกคลอไรด์ เติมสารอาหารเสริมต้องสังเกตและวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำออกให้มีแร่ธาตุต่างๆเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย เพราะถ้าใส่ลงไปมากจะสิ้นเปลืองและสร้างมลพิษซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย

  1. 3.      ออกซิเจนละลายน้ำ

ถังเติมอากาศ ต้องมีค่าออกซิเจนละลายน้ำระหว่าง 1 ถึง 2 มก./ล. ซึ่งปริมาณของอากาศหรือออกซิเจนที่ใช้ เพื่อรักษาความเข้มข้นของออกซิเจนที่ละลายน้ำนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิหากอุณหภูมิสูง จุลินทรีย์สามารถทำงานได้มากก็ต้องการออกซิเจนมาก เมื่ออุณหภูมิน้ำต่ำทำให้ความต้องการเติมอากาศน้อยกว่าที่อุณหภูมิสูง

  1. 4.      ระยะเวลาในการบำบัด

ระยะเวลาต้องมีมากพอที่จุลินทรีย์จะใช้ในการย่อยสลายมลสารต่างๆ ถ้าเวลาต่ำไปสารที่ย่อยยากๆ จะถูกย่อยไม่ถึงขั้นสุดท้ายทำให้มีค่าบีโอดีเหลืออยู่ในน้ำเสียมาก

  1. 5.      ค่าพีเอช

แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีที่ค่าพีเอช 6.5-8.5 ถ้ามีพีเอชต่ำกว่า 6.5 ราจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าแบคทีเรีย ทำให้ประสิทธิภาพต่ำลงและตกตะกอนไม่ดี ถ้าค่าพีเอชสูงก็จะทำให้ฟอสฟอรอรัสแยกตัวออกจากน้ำ และจุลินทรีย์ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้าพีเอชมีค่าต่ำมากหรือสูงมากจุลินทรีย์จะตายหมดไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้

  1. 6.      สารพิษที่มีผลต่อจุลินทรีย์

สารพิษมีสองจำพวก คือ แบบพิษเฉียบพลัน จุลินทรีย์จะตายหมดภายในระยะไม่กี่ชั่วโมง เช่น ไซยาไนด์ อาร์เซนิค อีกแบบคือ พิษออกฤทธิ์ช้า ใช้เวลานานและค่อยๆ ตาย โดยจุลลินทรีย์จะสะสมเอาไว้นเซลล์และเกิดเป็นพิษ จนตายในที่สุด เช่น ทองแดง โลหะหนักต่างๆ หรืออาจเกิดจากสารอินทรีย์ก็ได้เช่น แอมโมเนีย ความเข้มข้นสูงเกิน 500 มก./ล.

  1. 7.      อุณหภูมิ

เป็นปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ การเพิ่มอุณหภูมิทุก 10 องศาเซลเซียส จุลินทรีย์เจริญเติบโตเพิ่มขึ้นอีกเท่านึง จนถึงอุณหภูมิประมาณ 37 องศาเซสเซียส อุณหภูมิจะร้อนเกินไป จนจุลินทรีย์เติบโตน้อยลงอย่างรวดเร็วการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิมีผลต่อการทำงานในถังตกตะกอนขั้นที่สอง หากอุณหภูมิต่ำตะกอนจะตกได้ดีกว่าอุณหภูมิสูง


5.วิธีควบคุมระบบบำบัดน้ำเสียแบบAS

มีการควบคุมได้ 2 แบบ

  1. 1.      การควบคุมอัตราส่วนอาหารต่อจุลินทรีย์

จุลินทรีย์ที่มีสมรรถภาพต้องมีปริมาณอาหารที่พอเหมาะ ต้องควบคุมรักษาอัตราส่วนของน้ำหนักบีโอดีที่ส่งเข้ามาบำบัดต่อน้ำหนักจุลินทรีย์ ในทางปฏิบัติการควบคุมปริมาณอาหาร หรือบีโอดีในน้ำเสีย จะควบคุมได้ยาก การทีจะควบคุมค่า F/M ให้เหมาะสมจะอาศัยการเปลี่ยนแปลงค่าน้ำหนักของจุลินทรีย์ โดยการเพิ่มหรือลดการนำสลัดจ์ส่วนเกินไปทิ้ง

  1. 2.      การควบคุมอายุสลัดจ์

อายุสลัดจ์ ระยะเวลาเฉลี่ยที่จุลินทรีย์หมุนเวียนอยู่ในระบบเป็นค่าที่สำคัญในการออกแบบและควบคุมการทำงานของระบบ และทีความสัมพันธ์โดยตรงกับค่าอัตราส่วนอาหารต่อจุลินทรีย์ ควบคุมค่าอายุสลัดจ์ให้มีค่าคงที่จะทำให้อัตราส่วนอาหารต่อจุลินทรีย์มีค่าคงที่ ซึ่งค่าที่ควบคุมเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดคุณภาพของน้ำทิ้ง ในการควบคุมระบบจะต้องทดลองหาค่าอายุสลัดจ์ที่เหมาะสม โดยหาความสัมพันธ์ระหว่างค่าอายุสลัดจ์กับคุณภาพน้ำทิ้ง เช่น บีโอดีและของแข็งแขวนลอยแล้วเลือกค่าที่เหมาะสมที่สุด

การควบคุมหรือการแปลงค่าอายุสลัดจ์ ทำได้โดยปรับอัตราการนำสลัดจ์ส่วนเกินไปทิ้ง ถ้านำไปทิ้งมากอายุสลัดจ์จะลดลง หากนำไปทิ้งน้อยค่าอายุสลัดจ์ก็จะเพิ่มขึ้น การลดอายุสลัดจ์จะทำให้มีน้ำหนักของจุลินทรีย์ที่ต้องนำไปทิ้งเพิ่มขึ้น เนื่องจากจุลินทรีย์มีอัตราการเจริญเติบโตสูงขึ้น แต่ถ้าเพิ่มอายุสลัดจ์จะทำให้เกิดผลตรงข้าม การปรับค่าอายุสลัดจ์ในแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 1-3 เท่าของค่าอายุสลัดจ์ เพื่อให้ระบบปนับตัวอยู่ในสภาวะคงที่ และจะต้องติดตามคำนวณค่าน้ำหนักของ MLSS และปริมาณจุลินทรีย์ที่ต้องนำไปทิ้ง จนกว่ามีค่าไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

 

รูปแบบการควบคุมระบบ AS แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังแสดงในตาราง

 
   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


6.ปัญหาที่พบบ่อยและแนวทางแก้ไข

6.1น้ำทิ้งไม่ผ่านมาตรฐาน

1. ค่าบีโอดีไม่ผ่านมาตรฐาน

ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่าบีโอดีไม่ผ่านมาตรฐาน

 

 

 

 

 

 

 


2.ปริมาณของแข็งแขวนลอยไม่ผ่านมาตรฐานฯ

ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่าปริมาณของแข็งแขวนลอยไม่ผ่านมาตรฐาน

 
   

 

 

 

 



3.ค่าไนโตรเจนในรูปทีเคเอ็นในผ่านมาตรฐาน

ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่าไนโตรเจนในรูปทีเคเอ็นไม่ผ่านมาตรฐาน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


4.ค่าซัลไฟด์เกิน

โรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม ที่ดินจัดสรร ไม่ควรเกิน 1 มก./ล. ยกเว้น บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งและน้ำกร่อย อยู่ไม่เกิน 0.01 มก./ล.

ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่าซัลไฟด์ไม่ผ่านมาตรฐาน

 

 

 

 

 

 

5.ค่า FOG เกิน

ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่า FOG ไม่ผ่านมาตรฐาน

 

 


 

6.ค่า TDS เกิน

ตารางแสดงสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาค่า TDS ไม่ผ่านมาตรฐาน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

6.2 ปัญหาจากระบบบำบัดน้ำเสียไม่สมบูรณ์

1.อุปกรณ์เครื่องจักรกลชำรุด

เครื่องเติมอากาศประเภท Submersible Aerator

ระบบบำบัดน้ำเสียประเภท AS สำหรับอาคารประเภท ก หรือ ข ซึ่งเป็นระบบขนาดเล็กมักนิยมใช้เครื่องเติมอากาศประเภท Submersible Aerator เนื่องจากประหยัดพื้นที่โดยสามารถวางในถังเติมอากาศและไม่มีเสียงรบกวนการชำรุดของเครื่องเดิมอากาศย่อมส่งผลกระทบต่อระบบบำบัดน้ำเสียทันที เนื่องจากจุลินทรีย์ในถังเติมอากาศขาดออกซิเจนในการดำรงชีวิตเป็นผลให้น้ำทิ้งไม่ผ่านมาตรฐานฯ